Live Fangirl Repeat

          สวัสดีค่ะทุกคน! ห่างหายกันไปนานเลย กลับมาคราวนี้เราตั้งใจจะมาบอกเล่าประสบการณ์ของเรากับการเป็นออแพร์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มตั้งแต่การเตรียมตัว จนบินไปถึงนู่น และสิ่งที่เราได้รับกลับมา หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับใครหลายคนที่กำลังสนใจโครงการนี้อยู่นะคะ           เกริ่นก่อนว่าเราได้มีโอกาสมาเป็นออแพร์เมื่อปี 2020 (ใช่ค่ะ ปีที่มีโรค COVID-19 ระบาดหนักทั่วอเมริกา ;__;) ตั้งแต่เดือนมกราคม และเมื่อจบโครงการเราก็ได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยเดือนมกราคมปี 2021 ก็คือเป็นระยะเวลาทั้งหมด 1 ปี ซึ่งเราใช้เวลาตรงนี้เป็น Gap year หลังจากเรียนจบมหาลัยก่อนกลับมาทำงานค่ะ  โครงการ "ออแพร์" คืออะไร           โครงการออแพร์ เป็นโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเป็นระยะเวลา 1-2 ปีด้วยวีซ่า J-1 (วีซ่าเดียวกันกับโครงการ Work and Travel) ซึ่งเราจะได้ไปทำหน้าที่เป็น "ออแพร์" (Au Pair) หรือพี่เลี้ยงเด็กให้กับครอบครัว Host family ที่เราจะไปอาศัยอยู่ด้วย โดยเราจะต้องดูแลกิจกรรมของน้องๆ ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นไปรับ-ส่งน้อง ซักผ้า ทำอาหาร และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่เราต้อง

         การรีวิวหนังสือครั้งนี้จะเป็นการรีวิวหนังสือภาษาไทยเล่มแรกที่เคยเขียน และเป็นหนังสือแนวท่องเที่ยวเล่มแรกของเราที่เคยอ่านด้วย! จริงๆ อ่านหนังสือเล่มนี้จบมานานมากกกกกแล้ว เพิ่งหายขี้เกียจมาเขียนรีวิว T_T          บางคนอาจจะรู้จัก  พลอยไพลิน ตั้งประภาพร ในฐานะนักแสดง แต่สำหรับเราผู้ไม่ค่อยดูละครไทยนั้นรู้จักเธอจากเพจเฟซบุ๊กที่มีชื่อว่า พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ?  โดยเรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งก็มีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊กของเธอคนนี้เกี่ยวกับการเดินทางบนเส้นทางรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรียฉบับผู้หญิงคนเดียวที่เพิ่งเรียนจบขึ้นมาผ่านตาเรา และด้วยความที่เราเป็นคนเสพติดโลกออนไลน์เป็นอย่างมากจึงทำการคลิกเข้าไปอ่านและกดไลก์เพจเพื่อติดตามอย่างรวดเร็ว          จากการติดตามเพจของเธอทำให้รู้ว่าเธอมีจุดประสงค์หลักในการสร้างเพจเฟซบุ๊กเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวถึงสิ่งต่างๆ ที่เธอได้ทำในระยะเวลาหนึ่งปีหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย หรือที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า Gap year และการเดินทางครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมดังกล่าว ตามไปตามมาก็มาถึงวันสุดท้ายของการเดินทาง และได้ชมคลิปวีดิโอการเดินทางทั้งหมด 8 ประเทศของเธอซึ่ง

         ถ้าให้นึกถึงหนังสือนิยายโรแมนติกที่พระเอก-นางเอกป่วยเป็นโรค หลายๆ คนก็คงนึกถึง The Fault in Our Stars หรือ ดาวบันดาล ของ John Green เป็นเรื่องแรก แต่ไม่แน่ต่อไปทุกคนอาจจะเริ่มนึกถึง Five Feet Apart หนังสือเล่มแรกของ  Rachael Lippincott ที่แต่งจากภาพยนตร์ชื่อเดียวกันก็เป็นได้

           ไม่ว่าใครก็ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น แม้ว่าในใจลึกๆ เราอาจจะยังไม่พร้อมก็ตาม เราอาจจะมีสิ่งอื่นที่อยากลองทำดูก่อน สิ่งที่เป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่วัยเด็ก เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละคร "คิท" ในภาพยนตร์ ยูนิคอร์นขายฝัน (Unicorn Store) ผลงานการกำกับและแสดงเองเรื่องแรกของ Brie Larson หรือที่ช่วงนี้เรารู้จักเธอกันในนาม Captain Marvel นั่นเอง

Leah on the Offbeat  เป็นหนังสือนิยาย YA Contemporary เล่มต่อจาก Simon vs. the Homo Sapiens Agenda ซึ่งเราได้อ่านไปเมื่อเดือนก่อนแล้วชื่นชอบมากกับการเล่าเรื่องของคนในกลุ่ม LGBTQ+ ได้อย่างเรียบง่ายและกินใจ มาจนถึงเล่มนี้ผู้เขียนก็ยังคงถ่ายทอดเรื่องราวของคนกลุ่มนั้นในอีกมุมมองหนึ่งที่น่าติดตาม ในเล่มที่แล้วเรื่องราวถูกเล่าผ่านในมุมมองของตัวละคร  Simon  แต่สำหรับเล่มนี้เรื่องราวจะถูกเล่าในมุมมองของ Leah  สาวร่างอวบคิดมากที่เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของ Simon  แทน ถ้าใครได้ดูเวอร์ชันหนัง ( Love, Simon ) เธอคือตัวละครที่ถูกเล่นโดย Katherine Langford นั่นเอง (ชอบเธอมากกกก) ข้อมูลหนังสือ ชื่อหนังสือ: Leah on the Offbeat ผู้แต่ง:  Becky Albertalli Format:  Paperback สำนักพิมพ์: Penguin ISBN:  9780241331057 เรื่องย่อ:  หากพูดถึงตีกลอง Leah Burke ไม่เคยพลาด แต่กับชีวิตจริง เธอไม่ใช่อย่างนั้นเลย เธอผิดแปลกจากกลุ่มเพื่อน เป็นลูกคนเดียวของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่อายุไม่มาก และฐานะก็ไม่ได้ร่ำรวย แม่ของเธอรู้ว่าเธอเป็น Bisexual แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะบอกเรื่องนี้กับเพื่อน แม้กระทั่งกับเพื่อนท

          13 Reasons Why ซีรีส์เรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่ได้รับเสียงฮือฮาเป็นอย่างมากในตอนนี้ เป็นเรื่องที่ดัดแปลงมาจากนิยายวัยรุ่นชื่อดังของ Jay Asher และมีการนำเสนอด้านมืดของชีวิตวัยรุ่นอย่างเปิดเผย          เรื่องเล่าถึง Clay Jensen เด็กหนุ่มไฮสคูลที่ได้รับเทปคาสเซ็ททั้งหมด 13 เทปจาก Hannah Baker เพื่อนหญิงที่โรงเรียนที่เขาแอบชอบ แต่เธอได้ฆ่าตัวตายไปแล้วเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ในเทปเหล่านั้นอธิบายถึงสาเหตุ 13 ข้อที่ Hannah เลือกที่จะจบชีวิตตัวเองลง          เรามีโอกาสได้ดูซีรีส์เรื่องนี้จบไปเมื่อวาน และรู้สึกอยากเขียนถึงซีรีส์เรื่องนี้ เพราะว่าชอบมากๆ ออกตัวก่อนว่าไม่เคยอ่านหนังสือเรื่องนี้มาก่อน และหลังจากดูจบก็ไม่แน่ใจว่าควรอ่านมั้ย พูดดักเอาตรงนี้สำหรับคนที่ยังไม่เคยดูเลยว่ามันไม่ใช่ซีรีส์ที่ให้ความบันเทิงแบบเพลิดเพลินใจ เพราะตอนทุกตอนมันใส่เนื้อหาที่สะเทือนใจคนดู หนักหน่วงและเครียดมาก  บอกอย่างนี้ไปคนคงคิดว่าแบบอ่าว แล้วจะดูดีมั้ยเนี่ย!? เราขอยืนยันว่าดูเถอะ แค่เตรียมตัวเตรียมใจดีๆ