บอกเล่าประสบการณ์การเป็น "ออแพร์ที่อเมริกา" เป็นเวลา 1 ปี (Au Pair in America)

        สวัสดีค่ะทุกคน! ห่างหายกันไปนานเลย กลับมาคราวนี้เราตั้งใจจะมาบอกเล่าประสบการณ์ของเรากับการเป็นออแพร์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มตั้งแต่การเตรียมตัว จนบินไปถึงนู่น และสิ่งที่เราได้รับกลับมา หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับใครหลายคนที่กำลังสนใจโครงการนี้อยู่นะคะ

        เกริ่นก่อนว่าเราได้มีโอกาสมาเป็นออแพร์เมื่อปี 2020 (ใช่ค่ะ ปีที่มีโรค COVID-19 ระบาดหนักทั่วอเมริกา ;__;) ตั้งแต่เดือนมกราคม และเมื่อจบโครงการเราก็ได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยเดือนมกราคมปี 2021 ก็คือเป็นระยะเวลาทั้งหมด 1 ปี ซึ่งเราใช้เวลาตรงนี้เป็น Gap year หลังจากเรียนจบมหาลัยก่อนกลับมาทำงานค่ะ 

โครงการ "ออแพร์" คืออะไร

        โครงการออแพร์ เป็นโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเป็นระยะเวลา 1-2 ปีด้วยวีซ่า J-1 (วีซ่าเดียวกันกับโครงการ Work and Travel) ซึ่งเราจะได้ไปทำหน้าที่เป็น "ออแพร์" (Au Pair) หรือพี่เลี้ยงเด็กให้กับครอบครัว Host family ที่เราจะไปอาศัยอยู่ด้วย โดยเราจะต้องดูแลกิจกรรมของน้องๆ ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นไปรับ-ส่งน้อง ซักผ้า ทำอาหาร และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่เราต้องดูแลค่ะ

คุณสมบัติที่สำคัญของการเป็นออแพร์*
- มีอายุระหว่าง 18-26 ปี
- สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้
- มีชั่วโมงเลี้ยงเด็ก (จำนวนชั่วโมงแล้วแต่เอเจนซี)
- ขับรถได้ และมีใบขับขี่
- รักเด็ก รักที่จะอยู่กับเด็ก สามารถดูแลและรับผิดชอบเด็กได้
*ข้อดังกล่าวเป็นแค่คุณสมบัติหลักๆ ของการเป็นออแพร์ เงื่อนไขจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละเอเจนซีนะคะ

สิ่งที่ออแพร์จะได้รับ
- รายได้จากการทำงาน 195.75$ ต่อสัปดาห์
- ได้ค่าเล่าเรียน 500$ เพื่อเก็บเครดิต
- ได้ท่องเที่ยว ได้เพื่อนจากทั่วโลก
- มีวันหยุดที่ได้รับเงินเป็นเวลา 14 วัน
- สามารถขยายระยะเวลาโครงการได้มากสุดถึง 2 ปี (Extension)
- จบโครงการสามารถอยู่เที่ยวต่อได้อีก 1 เดือน (30 วัน)

(ภาพจากช่วง Training School ใน New York)

อยากเป็น "ออแพร์" ต้องเริ่มจากอะไร

        สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อเราตั้งใจจะเป็นออแพร์คือ เริ่มหาเอเจนซี (Agency) ค่ะ ปัจจุบันมีเอเจนซีสำหรับโครงการออแพร์อยู่เต็มไปหมดเลย ให้เราเลือกอันที่เราคิดว่าเหมาะสมและน่าเชื่อถือที่สุด

สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกเอเจนซี
- คุณสมบัติของออแพร์ที่เอเจนซีต้องการ
- เงื่อนไขการเก็บชั่วโมง ให้พิจารณาจำนวนชั่วโมง และอายุของเด็กที่เราต้องไปเก็บชั่วโมงค่ะ
- สิ่งที่เราจะได้รับจากโครงการ
- ค่าใช้จ่ายโครงการ
- หารีวิวจากคนที่เคยไปกับเอเจนซีนั้นๆ ให้พิจารณาวิธีการจัดการ การดูแลออแพร์ของแต่ละเอเจนซี และ Host family ที่มีในระบบ

        สำหรับเอเจนซีที่เราเลือกไปคือ Cultural Care ค่ะ จะขอรีวิวคร่าวๆ ว่าเป็นเอเจนซีที่ดีระดับหนึ่ง พี่ๆ ที่ไทยก็มีคำแนะนำให้ในการเก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็ก และการสัมภาษณ์วีซ่า เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรา (LCC) ตอนอยู่ที่อเมริกานี่แล้วแต่ดวง ของเราคืออยู่ระดับพอใช้ เขาไม่ค่อยมายุ่งอะไรเท่าไร อาจจะเนื่องจากโควิดด้วยมั้ง ส่วนเรื่อง Host family เราว่ามีอยู่ในระบบเยอะอยู่นะคะ ตอนที่เราอยู่ในช่วง Matching เพื่อหา Host family ก็มีเข้ามาอยู่เรื่อยๆ 

        แต่ตอนนี้เหมือนว่าเอเจนซี CC จะไม่มีออฟฟิศในไทยแล้วอาจจะทำให้การติดต่อสื่อสารกันลำบากนิดนึง แล้วก็เงื่อนไขคุณสมบัติที่เขากำหนดค่อนข้างเคร่งเรื่องเคยเดินทางไปยังอเมริกามาก่อนและการสัมภาษณ์วีซ่า (ปัจจุบันไม่รู้ยังเป็นเหมือนเดิมรึเปล่านะคะ) **ไม่ได้ค่าโปรโมทใดๆ นะเออ**

(ภาพเค้กที่น้องๆ แต่งหน้ากับภาพน้องใช้สีชอล์คลบได้วาดภาพบนพื้น)

การเก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็ก

        การเก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็กเป็นสิ่งที่สำคัญและใช้เวลามากที่สุดของการสมัครเป็นออแพร์ค่ะ ในการเก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็กเราสามารถที่จะเก็บก่อนสมัครโครงการออแพร์หรือหลังจากสมัครโครงการก็ได้ค่ะ เราก็แค่เก็บประเภทและชั่วโมงการเลี้ยงเด็กให้ครบตามเงื่อนไขของเอเจนซี และได้รับการรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรจากสถานที่ที่เราไปเก็บชั่วโมงมา

        สถานที่ในการเก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็กก็มีเยอะแยะอีกเช่นกัน เช่น สถาบันเลี้ยงเด็กต่างๆ, Kids Club ของโรงแรม หรือแม้แต่การเป็นติวเตอร์สอนพิเศษก็สามารถเป็นการเก็บชั่วโมงได้เหมือนกัน *ต้องสามารถรับรองได้* ให้เราทำการติดต่อทั้งฝ่ายเอเจนซี และสถานที่ที่เราจะไปเก็บชั่วโมงดูก่อนนะคะว่าสามารถใช้เป็นหลักฐานรับรองการเก็บชั่วโมงได้หรือไม่

การพิจารณาเลือกสถานที่เก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็ก
- สามารถใช้รับรองการเก็บชั่วโมงได้จริง และตรงกับวัยที่เอเจนซีต้องการ
- เราควรได้ประสบการณ์ดูแลเด็กจากที่แห่งนั้นจริงๆ ซึ่งจะต้องนำไปใส่ใน Profile ของเรา (ต้องมีภาพตอนเก็บชั่วโมงด้วยนะคะ)
- สะดวกในการเดินทาง

        สำหรับเราจะมาบอกเล่าให้ว่าเราเคยไปเก็บชั่วโมงมา 2 ที่ค่ะ ที่แรกเป็น Kids Club โรงแรมชื่อดังแถวสยาม ซึ่งจะเน้นไปที่การดูแลและจัดกิจกรรมพวกศิลปะสำหรับน้องๆ ที่เป็นลูกค้าโรงแรมค่ะ กิจกรรมที่เราได้ทำกับน้องๆ ที่นี่ก็เป็นไอเดียที่เราจะเอาไปใช้ตอนดูแลน้องๆ ที่อเมริกาค่ะ ข้อดีคือได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ข้อเสียคือไม่ได้ค่าจ้างค่ะ 

        อีกที่เราไปเก็บชั่วโมงมาคือ KidZania ซึ่งเราจะได้ไปเป็นคนดูแลฐานกิจกรรมให้น้องๆ ที่เป็นลูกค้าค่ะ ข้อดีคือได้ค่าจ้าง ได้ใช้ภาษาอังกฤษ ข้อเสียคือไม่ค่อยได้ประสบการณ์ดูแลเด็กแบบที่ต้องการเท่าไร

(ภาพชีวิตออแพร์ในช่วง COVID-19)

การสร้าง Profile และ Matching กับ Host Family ที่ใช่

        หลังจากเราได้เอเจนซีที่ใช่และมีชั่วโมงเลี้ยงเด็กพร้อมแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการสร้าง Profile ของตัวเองไว้สำหรับการ Matching กับ Host Family ต่อไปค่ะ การสร้าง Profile ของออแพร์ก็เหมือนการสร้าง Resume สำหรับสมัครงานเนี่ยแหละค่ะ จะทำออกมาอย่างไรให้น่าดึงดูดให้เขาจ้างเรา ในการสร้าง Profile เนี่ยจะมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือส่วนที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเรา เช่น ข้อมูลส่วนตัวและครอบครัว ความถนัดและความสนใจ ประวัติสุขภาพเบื้องต้น เป็นต้น และส่วนที่เป็นประสบการณ์การดูแลเด็ก กับข้อมูลสำหรับการเลือก Host Family ค่ะ

        คำแนะนำสำหรับการทำ Profile ก็คืออยากให้ทุกคนเป็นตัวของตัวเอง ซื่อสัตย์ มีความคิดสร้างสรรค์ และแสดงให้ Host Family เห็นว่าเรามีความรับผิดชอบและมีความสามารถเพียงพอที่จะเลี้ยงดูลูกของพวกเขาได้ค่ะ และที่สำคัญคือพยายามเขียนรายละเอียดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนทำให้เขาสามารถเห็นภาพได้ อยากให้เขาเห็นเราเป็นคนยังไงก็สื่อออกมาให้เขาดูเต็มที่เลยค่ะ :) ติดปัญหาตรงไหนก็ปรึกษาเอเจนซีได้เลยค่ะ

(ภาพน้องๆ ทำงานศิลปะและคุ้กกี้ที่พวกเราอบกัน)

        หลังจากส่ง Profile และได้รับอนุมัติจากเอเจนซีเราก็จะเข้าสู่ช่วงการ Matching กับ Host Family กันแล้ว! ขั้นนี้เป็นขั้นที่สำคัญมากๆ และควรเป็นขั้นที่ใช้เวลาในการตัดสินใจมากที่สุดด้วย เพราะมันจะกำหนดชะตาการเป็นออแพร์ของคุณที่อเมริกาในเบื้องต้นแหละ

        ก่อนอื่นเราอยากให้ทุกคนตั้งความคาดหวังในการเป็นออแพร์ก่อนว่าเราอยากจะเป็นออแพร์ให้กับ Host Family แบบไหน ลองเขียนออกมาคร่าวๆ เลยค่ะ ยกตัวอย่างหัวข้อเช่น

- อยากดูแลเด็กกี่คนและวัยประมาณไหน
- ได้ทำงานวันไหนบ้าง (ตามกฎออแพร์ต้องได้หยุดขั้นต่ำ 1.5 วันต่อสัปดาห์ค่ะ)
- มีรถยนต์ส่วนตัวให้ใช้หรือไม่
- Host Family ที่ include เราแบบ family หรือต้องการอิสระความเป็นส่วนตัวจาก Host Family
- อยากเดินทางไปถึงอเมริกาช่วงประมาณไหน

        พอเวลาเรามีความคาดหวังที่ชัดเจนจะช่วยให้เราตัดสินใจเลือก Host Family ได้ง่ายขึ้นค่ะ แต่แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะได้ทุกอย่างที่เราต้องการ สุดท้ายถ้าเราได้เจอ Host Family ที่คุยกันถูกคอ แต่ไม่ได้ตรงตามที่เราต้องการทุกข้อ เราก็ต้องมีความยืดหยุ่นและพิจารณาข้อต่างเหล่านั้นว่าเราสามารถยอมรับมันได้หรือไม่

        การ Matching กับ Host Family เนี่ยมันไม่ใช่แค่เขาเลือกเราฝ่ายเดียว สุดท้ายเราก็เป็นฝ่ายเลือกเขาด้วย ถึงจะ Matched กันได้ การสัมภาษณ์กับ Host Family ส่วนใหญ่คำถามที่เขาถามเราจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราและประสบการณ์จากที่เราใส่ใน Profile ไม่ยากค่ะ และแนะนำเหมือนเดิมคือให้เป็นตัวของตัวเองเข้าไว้ค่ะ :) นอกจากนั้นแล้วเรายังต้องเตรียมคำถามที่เราอยากรู้เพิ่มเติมจาก Profile ของ Host Family ด้วยนะคะ ซักมาให้ได้มากที่สุดเพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินใจ

(ภาพ COVID-19 และ Black Lives Matter)

การสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา

        พอได้ Matched กับ Host Family ที่ใช่ เราก็ต้องไปด่านต่อไปที่ก็หินอยู่เหมือนกันคือ การสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา สำหรับวีซ่าของออแพร์อย่างที่บอกไปว่าเป็นวีซ่าประเภท J-1 ซึ่งเป็นวีซ่าสำหรับการเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนค่ะ 

        คำแนะนำในการสัมภาษณ์วีซ่าคือต้องดูแลตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกของเราคือแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย ดูไม่มีพิษภัย และที่สำคัญคือยิ้มแย้มแจ่มใสให้ได้มากที่สุด ไปถึงก่อนเวลานัด ทำใจให้สบาย ไม่ตื่นเต้นจนล่กเกินไปและมีสติตอนตอบคำถาม ของเอเจนซีเราจะมี Workshop เตรียมความพร้อมการสัมภาษณ์วีซ่าด้วยเพื่อให้เราเตรียมคำตอบสำหรับการสัมภาษณ์ และไปซักซ้อม พูดให้ชินปาก แต่ถ้าถึงสถานการณ์จริงพูดไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ เอาใจความสำคัญ คำถามที่เราถูกถามมีแค่อายุเท่าไหร่ เรียนจบอะไรมา ตอนนี้ทำงานอะไร ทำไมถึงอยากไปออแพร์ และมีแพลนอะไรหลังจากเป็นออแพร์ 

*ข้อสำคัญที่ควรตอบในการสัมภาษณ์คือควรตอบคำถามที่แสดงให้เขาเห็นว่าเราตั้งใจจะกลับมาที่ประเทศไทยแน่ๆ ไม่ชิ่ง

        ขอเพียงแค่เชื่อมันว่าเราทำได้ เสร็จแล้วก็เตรียมพร้อมออกเดินทางสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้เลย :)

(ภาพสวนสาธารณะและ Aquarium ใน Atlanta)

ประสบการณ์การเป็น "ออแพร์ที่อเมริกา" เป็นเวลา 1 ปี

        เราใช้เวลาเตรียมตัวทั้งหมดก่อนจะได้มาเป็นออแพร์ที่อเมริกาประมาณ 7-8 เดือนหลังจากเรียนจบมหาลัยค่ะ จากนั้นก็เดินทางมาถึงนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกาเดือนมกราคม เพื่อเตรียมความพร้อมใน Training School ก่อนเดินทางไปยังบ้าน Host Family 

        ช่วง Training School เป็นช่วงที่น่าตื่นเต้นสำหรับเรามาก เพราะเป็นการมาถึงอเมริกาครั้งแรก และได้มาเจอกับคนอีกจำนวนมากจากทั่วโลกที่มาเป็นออแพร์เหมือนกับเรา ตอนนั้นเราเป็นคนไทยคนเดียวในรอบนั้นด้วยค่ะ ก็คือได้ใช้ภาษาอังกฤษรัวๆ เลย และที่สำคัญคือช่วงนี้เราควรจะทำความรู้จักกับเพื่อนคนอื่นๆ ผูกมิตรกับเพื่อนให้ได้มากที่สุด เพราะถึงแม้เราอาจจะไม่ได้ไปอยู่รัฐเดียวกัน แต่เราก็ยังได้เพื่อนพาเที่ยวรัฐนั้นๆ ด้วย และมีคนที่เข้าใจความรู้สึกการเป็นออแพร์แบบเรา

        เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในอเมริกา การรับมือกับปัญหา และการทำ CPR ในช่วง Training School เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเป็นออแพร์เต็มตัว อาจจะชวนง่วงหน่อย แต่ก็มีประโยชน์นะ นอกจากนี้ยังมีได้ไปเที่ยวในใจกลางนิวยอร์คเป็นทริปสั้นๆ หนึ่งวันด้วย :)

(ภาพจาก Training School)

        หลังจากจบ Training School 5 วัน เราก็ต้องแยกย้ายกันไปอยู่รัฐของ Host Family ของเราค่ะ ซึ่งเราได้ไปอยู่รัฐ Georgia ได้ไปดูแลน้อง 2 คนตอนนั้นน้องอายุ 3 (ผู้ชาย) กับ 5 ขวบ (ผู้หญิง) Host Family ที่เราไปอยู่ด้วยทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขาจริงๆ น้องๆ ที่เราไปดูแลก็น่ารัก วัยกำลังซน ดื้อตามประสาเด็ก แต่ว่าเลี้ยงง่ายค่ะ :)

        ประสบการณ์ของเราอาจจะไม่ได้เป็นตามที่เราคาดหวังว่าจะได้รับเพราะว่าเพียง 2-3 เดือนที่เราไปถึงประเทศสหรัฐอเมริกาก็เจอกับวิกฤตโรคระบาด COVID-19 ซึ่งบอกเลยว่าเป็นอะไรที่ท้าทายกับการเป็นออแพร์มากๆ ที่เราจะต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่าง Host Family เปลี่ยนมา Work from home และเด็กๆ ต้องเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้านแทน กิจวัตรต่างๆ ของเราก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย ซึ่ง Host Family ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการดูแลป้องกันตัวเองจาก COVID-19 มากๆ และเราก็ต้องแสดงความรับผิดชอบที่จะดูแลตัวเอง และไม่ทำให้ใครต้องมาเดือดร้อนจากโรคเพราะเราค่ะ

        หลังจากมีโรคระบาด ส่วนใหญ่เราได้ทำงานแค่จ.-ศ. และได้หยุดวันพุธ (เด็กไม่มีเรียน ไปบ้านคุณยาย) กับเสาร์-อาทิตย์ อาจจะมีได้ทำเสาร์-อาทิตย์บ้างไม่กี่ชั่วโมง ไม่บ่อยค่ะ ซึ่งเราก็แฮปปี้กับตารางงานอยู่ค่ะ ที่สำคัญคือเราได้งัดกิจกรรมงานอาร์ทจากประสบการณ์การเก็บชั่วโมงมาใช้เยอะมาก หรือเล่นกับน้องๆ เพื่อให้น้องไม่เบื่อจากการอยู่บ้านเฉยๆ

(ภาพเรากับเพื่อนออแพร์เที่ยวและ Hiking ในช่วงวันหยุด)

        สิ่งที่น่าเสียดายในปีออแพร์ของเราคือเราได้เที่ยวน้อยค่ะ ส่วนใหญ่จะเที่ยวกับเพื่อนในรัฐที่อยู่ เน้นไป Hiking ไปนั่งกินมื้อเที่ยง คุยกับเพื่อนในสวนสาธารณะในวันหยุด วันธรรมดาว่างๆ ก็ออกไปเดินเล่นสูดอากาศ ดูหนัง ดูซีรีส์ อ่านหนังสือไป (ยืมหนังสือจากห้องสมุดสาธารณะ ประหยัดไปได้เยอะเลย น้ำตาจะไหล) และกิจกรรมใหม่ที่เราได้ลองทำและชอบคือการเล่นเทนนิสค่ะ Host เราเล่นเทนนิสอยู่แล้ว เขาเลยชวนให้เราลองเล่นแก้ว่างดู เลยลงคอร์ส Beginner ให้ :)

        เราได้ไปเที่ยวต่างรัฐกับ Host Family คือไปเที่ยวชายหาดที่ Florida กับไปเที่ยว Charleston ที่รัฐ South Carolina พร้อมเพื่อนสนิทที่เป็นเม็กซิกันด้วยครั้งหนึ่ง เป็น Roadtrip สั้นๆ 3 วันแต่สนุกมาก เคยทำ YouTube เก็บไว้เป็นความทรงจำด้วย


        อย่างที่บอกว่าประสบการณ์เราอาจจะไม่เหมือนกับออแพร์ทั่วไป ถึงแม้เราจะไม่ได้ไปเที่ยวอย่างที่คาดหวังแต่เราก็ยังรู้สึกดีใจที่ตัดสินใจไปเป็นออแพร์ที่อเมริกานะ 1 ปีกับการห่างครอบครัวและเพื่อนที่ไทยมันสอนให้เราเติบโตได้ประมาณนึงเลย และเราก็โชคดีที่ได้ Host Family ที่เขาใส่ใจเราเหมือนครอบครัวคนหนึ่ง ได้เจอเพื่อนสนิทจากเม็กซิโกที่เป็นออแพร์ด้วยกันที่มี Lifestyle เหมือนกัน เข้ากันได้

        ในการเป็นออแพร์เราจะต้องเจอปัญหาหลายอย่าง มันทำให้เราเห็นว่าทุกปัญหามันมีทางออก และมันจะผ่านพ้นไป และทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าเราเป็นคนยังไง ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ได้ฝึกการจัดการทั้งหน้าที่การงาน และอารมณ์ของตัวเอง และที่สำคัญคือได้พัฒนาภาษาอังกฤษให้ดีมากขึ้นอย่างแน่นอน เราจะมีความกล้าแสดงออก และมั่นใจมากขึ้นเลยแหละ

        ที่สำคัญคือการที่เราได้เดินทางมาประเทศสหรัฐอเมริกามันเหมือนเป็นการเปิดโลกสำหรับเรามาก ที่ผ่านมาเคยเห็นประเทศนี้ผ่านแค่จอเอง พอได้มาสัมผัสจริงๆ ก็รู้สึกว้าวเหมือนกันนะ อีกอย่างคือเราจะมีความรู้สึกอิจฉาทุกทีเวลาที่เราได้เดินทางมาประเทศที่เจริญแล้ว ประเทศที่เขามีการบริหารประเทศดีๆ รู้สึกอยากให้ประเทศไทยเราเป็นได้แบบเขาบ้างจัง

(ประสบการณ์ครั้งแรกกับเทศกาลฮาโลวีนและคริสต์มาสในอเมริกา)

        ทิ้งท้ายว่าสุดท้ายแล้วประสบการณ์ของแต่ละคนยังไงก็ไม่มีวันเหมือนกัน ทั้งหมดนี้ก็เป็นประสบการณ์ของเราเอง ที่เราเจอมากับตัว ถ้าตกหล่นตรงไหนไปก็ขออภัยด้วย และก็อยากเชิญชวนให้คุณมาลองสัมผัสประสบการณ์นี้ด้วยตนเองดู ไม่ลองไม่รู้อ่ะเนอะ ถ้าคิดอยากจะลองแล้ว อยากให้เริ่มเลยตั้งแต่วันนี้ก่อนที่มันจะสายไป (อายุเกิน) ถ้าอยากปรึกษาเรื่องออแพร์ก็สามารถติดต่อมาคุยส่วนตัวกับเราได้เลยค่ะ จะพยายามช่วยอย่างเต็มที่ :)

สมัครโครงการออแพร์กับ Cultural Care: Click to apply
ติดต่อเราทาง Twitter หรือ Instagram: @po2und
ขอบคุณที่อ่านจนจบ :)

------------------------------------------------

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

The Book Depository Unpackaging | แกะห่อหนังสือจาก Book Depository

Book Review - รีวิวหนังสือ | Carry On - Rainbow Rowell