Stranger Things | Series Review - รีวิวซีรีส์

           ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2016 เราได้ยินคนพูดถึง "Stranger Things" บ่อยมาก จนสงสัยว่า เฮ้ย เขาพูดถึงไรกันวะ!? งงไปหมด อะไรคือสิ่งแปลกหว่า จนในที่สุดก็ค้นพบว่ามันคือซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่องหนึ่งของ Netflix นั่นเอง พอรู้แล้วตอนนั้นก็ยังไม่สนใจนะ ก็คิดว่าแบบ เออ ไว้ค่อยดูละกัน ยังไม่ค่อยมีอารมณ์ดูซีรีส์ฝรั่งเท่าไหร่ เพราะกำลังอยู่ในช่วงกลับมาติ่งซีรีส์เกาหลีอยู่
           จนมาปีนี้เริ่มเบื่อซีรีส์เกาหลีละ เรื่องที่ตามอยู่ก็ค่อยๆ จบไป แถมใกล้จะเปิดเทอมแล้วด้วย รีบหาอะไรดูดีกว่า เดี๋ยวเปิดเทอมไม่มีเวลา ป๊าบ! จัดไปเลย 8 ตอนในวันเดียว (เชื่อว่าหลายคนก็คงทำงี้) ไม่ใช่ว่ารีบหรืออะไรนะ แต่มันหยุดไม่ได้จริงๆ วันนั้นยอมนอนดึกเพื่อดูให้จบซีซันเลย! 8 ชั่วโมงที่เสียไป แต่กลับรู้สึกคุ้มค่ามากๆ สุดท้ายเราเลยตัดสินใจมาเขียนบทความนี้เพื่อไว้ให้ตัวเองกลับมาอ่านอีกครั้ง ให้ตัวเองได้ซึมซับความประทับใจที่มีให้กับซีรีส์เรื่องนี้
           Stranger Things เป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องในปี 1983 ซึ่งเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆ อันเงียบสงบ แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเมื่อเด็กชายคนหนึ่งได้หายตัวไปอย่างลึกลับ การตามหาเด็กชายคนนั้นจึงเริ่มต้นขึ้น แต่ใครจะไปรู้ว่าแท้จริงแล้วเบื้องหลังการหายตัวไปนั้นเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่า
           หากจะหวังความรู้สึกดาร์ก หม่น จากซีรีส์เรื่องนี้ก็คงจะได้ไม่สุด ซึ่งจุดนี้สร้างความประหลาดใจให้กับเรามาก เพราะจากที่ดูซีรีส์ฝรั่งมา (ไม่เยอะ แต่ก็ดูอันที่ดังๆ อ่ะนะ) โทนของเรื่องมักจะไปในทิศทางเดียว คือเครียดมาก หรือหลอนมาก หรือตลกมาก อะไรทำนองนี้ แต่กับซีรีส์เรื่องนี้มันมีการผสมผสานกันในหลายๆ อารมณ์ บางช่วงก็ระทึกดี บางช่วงก็รู้สึกอบอุ่นเฉย เรามองว่าเป็นสเน่ห์ของเรื่องนี้ไปซะงั้น เพราะบางครั้งชีวิตก็ไม่ได้ต้องการอะไรที่สุดโต่งจนเกินไป ขออะไรที่พอดีและกลมกล่อมก็พอแล้ว (พูดซะเหมือนอาหารเลยวุ้ย)
           ในส่วนของเนื้อเรื่องก็สร้างความสนุก ตื่นเต้น น่าสงสัยและน่าติดตามได้ตลอดทั้งเรื่องจนจบซีซัน บอกเลยว่าตอนจบของทุกๆ ตอนทำให้เรารู้สึกค้างเติ่งต้องรีบดูตอนต่อไปให้ได้ เนี่ยแหละสาเหตุที่ดูจบทั้งซีซันในวันเดียว! มิหนำซ้ำจบซีซันแรกแล้วแต่ก็ยังทิ้งจุดน่าสงสัยไว้ให้ติดตามซีซันต่อไปกันอีก รอดูกันไปเลยจ้า นอกจากเนื้อเรื่องหลักที่เกี่ยวกับสิ้งเร้นลับซึ่งทำให้เราติดซีรีส์เรื่องนี้แล้ว มันยังมีเรื่องอื่นๆ เช่น ครอบครัว เพื่อน ความสัมพันธ์ ที่เข้ามาเติมเต็มระหว่างทางส่งผลให้ซีรีส์เรื่องนี้มีความกลมกล่อมอย่างที่ได้กล่าวไป
           อีกสิ่งที่จะไม่ให้พูดถึงเกี่ยวกับซีรีส์เรื่องนี้เลยคงไม่ได้ นั่นก็คือตัวละครที่คอยดำเนินเรื่องราวให้สมบูรณ์แบบนั่นเอง หากพิจารณาดีๆ แล้ว เรามองว่าการที่ซีรีส์เรื่องนี้สร้างตัวละครหลากหลายวัย ได้แก่ เด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่มาดำเนินเรื่อง เป็นการช่วยให้ซีรีส์เข้าถึงกลุ่มคนดูได้หลากหลายวัยเช่นกัน (แม่เราก็มานั่งดูด้วยนะเออ)
           กลุ่มตัวละครที่น่าสนใจมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นกลุ่มเด็กๆ ที่มาแจกความสดใส แต่ก็แฝงความจริงจังและมีสาระไว้ด้วย ความที่มีเคมีที่เข้ากันและแสดงออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ มันทำให้เราตกหลุมรักเจ้าพวกตัวละครเด็กๆ เหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย ผนวกกับนักแสดงที่คัดสรรมาอย่างดี ทั้งหน้าตาที่ดูแปลกตาและเป็นเอกลักษณ์ยิ่งสร้างความประทับใจอย่างไม่รู้ลืม นี่ก็หวังจะได้เห็นอนาคตที่ดีของกลุ่มนักแสดงเหล่านี้อยู่นะ
           นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมด อีกอย่างที่เราชอบในซีรีส์เรื่องนี้คือ เนื่องด้วยซีรีส์มันเล่าเรื่องในยุค '80 มันเลยมีกลิ่นอายความเก่าที่สร้างสีสันให้กับซีรีส์เข้าไปอีก อย่างเช่นเพลง หรือเกมที่พวกเด็กๆ เล่นกัน (ไม่แน่ใจว่ามันคืออันเดียวกับเกม Tabletop RPG รึเปล่านะ) หรืออย่างการพูดถึง ตัวละครใน Star Wars, The Lord of the Rings และ The Hobbit พอได้ยินหรือได้เห็นสิ่งเหล่านี้แล้วมันก็อดอมยิ้มไม่ได้จริงๆ
           ยังไม่หมดนะ ขอพื้นที่กรี๊ดกร๊าดอีกนิดกับซีรีส์เรื่องนี้ คือดนตรีประกอบมันดีงามมาก ตอนนี้ติดเพลงธีมตอนเริ่มของแต่ละตอนไปแล้วเรียบร้อย อารมณ์ติดเพลงธีมของ Game of Thrones อ่ะจ้า ส่วนเพลงอื่นก็ดีไม่แพ้กัน มันจะมีความล้ำๆ แต่ก็ปนความเก่าๆ ไว้ด้วย อธิบายไม่ถูกอ่ะ! ฟังวนไปค่ะ
           ถ้าต้องให้พูดชื่อหนังที่คล้ายๆ กับซีรีส์เรื่องนี้เราก็คงนึกถึง E.T. กับ Super 8 (เอาจริงก็ไม่ได้ดูหนังแนวนี้มากหรอก แหะๆ) และถ้าจะต้องแนะนำซีรีส์ฝรั่งสนุกๆ ให้ใครซักเรื่อง มันก็ต้องเป็น Stranger Things เนี่ยแหละ!


"Friends don't lie." - Stranger Things

------------------------------------------------
ใครได้ดูเรื่องนี้แล้วคิดเห็นยังไงกันบ้าง มาแชร์กัน!


credit: Netflix

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

The Book Depository Unpackaging | แกะห่อหนังสือจาก Book Depository

Book Review - รีวิวหนังสือ | Carry On - Rainbow Rowell

บอกเล่าประสบการณ์การเป็น "ออแพร์ที่อเมริกา" เป็นเวลา 1 ปี (Au Pair in America)